ในดินแดนปาเลสไตน์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงมีพระชนมายุ 11 พรรษา ยูดาส ชาวกาลิลี ได้ก่อการจลาจลบุกปล้นคลังอาวุธของโรมที่เมืองเซฟโฟริส (Sepphoris) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองนาซาเร็ธ บ้านของพระองค์เพียง 6 กิโลเมตรเศษ ๆ กองทัพโรมันตอบโต้ทันควัน ด้วยการเผาเมือง เซฟโฟริสจนราบเป็นหน้ากลอง ชาวเมืองถูกขายเป็นทาส ผู้ก่อการจลาจลสองพันคนถูกตรึงกางเขนเรียงรายสองข้างทาง เพื่อปรามมิให้ผู้อื่นเอาเยี่ยงอย่างอีก แน่นอนว่า พระเยซูเจ้าทรงเห็น หรืออย่างน้อยก็ได้รู้ซึ้งถึง “ความร้ายกาจ” ของกางเขนตั้งแต่วัยเด็กแล้ว

การแบกไม้กางเขนของตน หมายถึง การพร้อมที่จะเผชิญหน้า และต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะ “ร้ายกาจ” เพียงใดก็ตาม

ผู้ที่ดำเนินชีวิตแบบ “สุขนิยม” ด้วยการหลบหลีกปัญหาไปวัน ๆ หนักไม่เอา เบาไม่สู้ พวกเขาจะติดตามพระเยซูเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อพระองค์เองยังทรงเลือกหนทางของไม้กางเขน

ผู้ที่แบกไม้กางเขนของตนทุกวัน จึงเป็นผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างซื่อสัตย์ และแน่นอนว่า พระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ (มธ 28:20) แต่จะทรงประทานพลังและพระหรรษทานช่วยเหลืออย่างเกินพอ เพื่อให้พวกเขาเอาชนะปัญหาและอุปสรรคไม่ว่าจะร้ายกาจหรือหนักหน่วงเพียงใดก็ตาม

ที่สำคัญ ยิ่งได้รับชัยชนะ เราจะยิ่งกล้าแกร่งและพร้อมสำหรับปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่า จนว่าสักวันหนึ่ง จะไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคใดที่เราจะต้องเกรงกลัวอีกต่อไป

นี่คือ สันติสุขและความมั่นคงแท้จริง ที่พระองค์ทรงนำมามอบให้เราทุกคน

ท่านพุทธทาสตีความไม้กางเขนได้ลึกซึ้งว่า
"เส้นยืนของกางเขนคืออักษร I เส้นขวางคือการตัด I หรือ "ตัวกู" นั้นเสีย..

 

กลับสู่...สรรหา มาให้ "สุข"