![]() |
---|
การตรึงที่กางเขนเป็นการทรมาน..ให้ตายอย่างช้าๆ: เขียนโดย อาจารย์ปัญญา โชชัยชาญ ในสมัยของพระคริสต์นั้น รัฐบาลโรมจะประหารชีวิตนักโทษโดยการจับตรึงที่กางเขน การลงโทษโดยใช้วิธีนี้ มิใช่เพื่อล้างผลาญชีวิตของผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่เพื่อให้ประชาชน ได้เห็นโทษที่ผู้กระทำผิดได้รับอีกด้วย ในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา มีหนังสือและการศึกษาอย่างน้อย 10 ฉบับ ที่พยายามทำความ เข้าใจสาเหตุทางกายภาพของการเสียชีวิตของพระเยซู ในจำนวนนี้รวมถึงความพยายามของ คนอเมริกันกลุ่มหนึ่งในปี 2005 ที่มีการตรึงอาสาสมัครกับกางเขนชั่วคราว และอย่างปลอดภัย ด้วยเข็มขัด การทดลองนี้ทำให้ได้มาซึ่งสมมติฐานมากมาย ตั้งแต่หัวใจล้มเหลวไปจนถึงเลือดคั่ง ในปอด และอาการสลบและช็อคเนื่องจากความดันโลหิตลดต่ำ เหยื่อจะเจ็บปวดทรมานอยู่นาน 6 ชั่วโมง นับจากถูกตรึงกางเขน จนเสียชีวิตจากการ เสียเลือด ขาดน้ำ และน้ำหนักของร่างกายที่กดทับปอด การตรึงที่กางเขน เป็นการทรมานนักโทษให้ตายอย่างช้าๆ ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนขยาดกลัว มิกล้ากระทำผิด วิธีตรึงที่กางเขนนั้น แตกต่าง กันไปบ้างเล็กน้อยตามแต่ละแห่ง แต่ผลลัพธ์นั้นก็เหมือนกัน คือ ความเจ็บปวดรวดร้าวจนตาย อย่างช้าๆ การโบยตี – บางครั้ง สิ่งแรกสุด ในกระบวนการตรึงที่กางเขนก็คือ การเฆี่ยนตีผู้กระทำผิดจนเกือบจะตาย จากประวัติศาสตร์ที่มิได้ระบุระยะ เวลาอย่างชัดแจ้ง นักโทษที่ถูกโบย 40 ที ถึงแก่ความตาย ดังนั้นเองพวกทหารโรมันจึงโบยนักโทษแต่เพียง 39 ที เท่านั้น โดยใช้แส้ที่มีสายหนัง หลายเส้น แต่ละเส้นมีหินหรือกระดูกแหลมคมติดอยู่ที่ปลายแส้ นักโทษที่ถูกโบยจะมีแผ่นหลังและสีข้างเป็นรอยแตกยับ กระดูกสันหลังได้รับ ความกระทบกระเทือนจนประสาทถูกทำลาย การแบกไม้กางเขน – นักโทษบางคนต้องแบกไม้กางเขนไปยังแดนประหารเป็นระยะทางไกล เพื่อประจานตัวเอง มิให้ประชาชนเอาเป็น เยี่ยงอย่าง โดยทั่วไปแล้ว นักโทษผู้เคราะห์ร้ายจะถูกบังคับให้แบกกางเขน นักประวัติศาสตร์ รายงานว่า ชาวโรมันใช้วิธีตรึงที่กางเขน 2 แบบ ในสถานที่ต่างกันและอันที่จริงแล้ว เราก็ไม่แน่ใจว่า พวกเขาใช้วิธีใดกับ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา วิธีแรก พวกทหารโรมันจะปักไม้ท่อนตรงลงในแดนประหารอย่างแน่นหนา นักโทษจะถูกบังคับให้แบกไม้อีกท่อนหนึ่ง (ซึ่งมีขนาดและน้ำหนัก พอๆ กับไม้หมอนรถไฟ) ไปจนถึงที่ประหารซึ่งทหารโรมันจะตรึงแขนทั้งสองข้างของเขากับท่อนไม้ที่แบกมา จากนั้นก็จะยกขึ้นพาดกับไม้หลัก ตรงรอยบาก แล้วผูกให้ติดกันแน่น พวกทหารจะตอกตะปูทะลุเท้าของนักโทษให้ติดกับไม้หลัก โดยให้เข่าทั้งคู่งอ และฝ่าเท้านาบไปกับไม้หลักนั้น วิธีที่สอง ทหารโรมันจะเอาไม้มาประกอบกันเป็นไม้กางเขน แล้วบังคับให้นักโทษแบกลากไปแดนประหาร ณ ที่นั้นพวกเขาจะตรึงแขนและเท้า ของนักโทษกับไม้กางเขน ดังได้พรรณนามาแล้วข้างต้น การตรึงทั้งสองวิธีจะใช้เชือกหรือสายหนัง รัดตรึงแขนทั้งสองข้างของผู้เคราะห์ร้ายเข้า กับกางเขน บางครั้งอาจใช้แทนการตอกตะปู หรืออาจใช้ประกอบเพิ่มจากการตอกตะปูแล้วก็ได้ จากนั้น พวกเขาก็จะช่วยกันยกกางเขนมาหย่อนลงในหลุมที่ขุดในหิน แล้วตอกลิ่มที่โคนกางเขนเพื่อมิให้โคลงเคลง ตอนนี้เองที่ความทุกข์ ทรมานจนตายอย่างช้าๆ ได้เริ่มขึ้น เมื่อแขนทั้งสองข้างของนักโทษเหยียดออก น้ำหนักของร่างกายก็ถ่วงลงจากข้อมือ ดึงกล้ามเนื้อที่ทรวงอก(ซึ่ง มีหน้าที่ควบคุมการหายใจ) ทำให้เกิดอาการชา การหายใจติดขัด ตามเนื้อตามตัวของนักโทษจะปรากฎ รอยจ้ำ ดำๆ หลายๆ แห่งให้เห็น ทั้งนี้ เพราะร่างกายขาดออกซิเจน ดังนั้นเพื่อจะได้หายใจสักหนึ่งหรือสองเฮือก นักโทษผู้ อ่อนระโหยโรยแรงก็จะกระเสือกกระสนเหยียดตัวขึ้น โดย การเขย่งเท้า (ทำให้น้ำหนักของร่างกายทั้งหมดมาตกที่ตะปูตัวที่แทงทะลุเท้าทั้งสองข้าง) แต่ในไม่ช้าผู้เคราะห์ร้ายก็จะทิ้งตังลงอยู่ในสภาพเดิม) (คือ เข่างอทั้งคู่) เพราะ เจ็บปวดแสนสาหัส เขาจะเหยียดตัวขึ้นแล้วก็ทิ้งตัวลงอย่างนี้ เรื่อยๆ ไป ครั้นเวลาร่วงเลยไป ร่างที่บอบช้ำหมดเรี่ยวแรงก็จะหยุดนิ่ง เขย่งขาไม่ได้อีก นักโทษจะสั่นเทาไปทั้งตัว ทั้งนี้เพราะกล้ามเนื้อที่ทรวงอก เป็นอัมพาต ทำให้หายใจไม่ออก มีนักโทษประหารบางรายทนการทรมานอย่างนี้ ได้นานจนพวกทหารโรมันต้องใช้หอกเสียบ และทุบขาให้หักทั้ง สองข้าง เพื่อทำให้เขาไม่สามารถเหยียดตัวขึ้นหายใจได้ ไม่ช้าก็จะเกิดการชักกะตุกอย่างรุนแรงที่บริเวณหน้าอกของนักโทษ ทำให้เขาสิ้นชีวิต ลงทันที ลองพิจารณาดูเถิดว่า ลมหายใจ (ของนักโทษ) แต่ละเฮือกนั้นมีค่ามากเพียงใด เพราะฉะนั้นพระดำรัสของ พระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน เกี่ยวกับการอภัยบาปจึงมีความหมายลึกซึ้งจริงๆ และเนื่องจากพระเยซูยินยอมให้พวกเขาแขวนพระองค์เองที่กางเขนเพื่อเป็นค่าไถ่พวกเรา ท่านเปาโลจึงเรียกร้องให้เรามีความเชื่อว่า “…. พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณากระทั่งความมรณาที่กางเขน” (ฟิลิปปี 2:6)
|
---|