"เยาวชนคนดี คนเก่ง..ยุคศตวรรษที่ 21"

เมื่อวาน ช่วงเย็น ซิสเตอร์ที่อารามศูนย์กลางจันทบุรี ชวนฉันไปร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ เป็นมิสซาหน้าศพญาติผู้ใหญ่ของซิสเตอร์ยุวภคินีคนหนึ่ง มาวันนี้ ฉันอดไม่ได้ที่จะแบ่งปันถึงสิ่งที่ฉันมีประสบการณ์ ซึ่งทำให้ฉันหยั่งรู้ถึงพระคุณล้ำค่าขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นลึกๆ ในใจของฉัน

เพราะด้วยความเกรงใจเจ้าภาพ ทำให้พวกเรา..กลุ่มซิสเตอร์ที่ไปร่วมมิสซาศพ ต้องการจะแวะหาอาหารจานเดียวแบบง่ายๆ เป็นมื้อเย็น ก่อนที่จะไปถึงศาลาสวดศพ แต่แล้วทางเจ้าภาพรีบส่งข่าวมาว่า...ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ต้องแวะที่ไหน ให้คณะซิสเตอร์ที่มา..เข้าไปที่งานเลย เจ้าภาพมีอาหารไว้ให้แล้ว โอ้โฮ โต๊ะกลมเต็มหอประชุมเลย มีตั้งศพผู้วายชนม์ตั้งเคียงกันสองเจ้าภาพ แต่พอจะเป็นที่ให้สังเกตได้ว่า แขกของใครเป็นใคร ก็คือ สีของเก้าอี้ที่จัดไว้เลี้ยงอาหาร มีสีน้ำเงินกับสีแดง สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าใครมางานของใคร

อาหารมื้อเย็น อร่อยค่ะ มีกับข้าวจัดมา 4-5 รายการ ไม่หรูหรา แต่เป็นกับข้าวท้องถิ่น และมีปริมาณมากเพียงพอ..ให้เติมกันได้เต็มที่ ในโต๊ะที่ฉันนั่ง มีหลายคนเติมข้าว ฉันอมยิ้มในใจ เจริญอาหารในงานศพกันเลย แต่มองไปรอบๆ ไม่มีบรรยากาศโศกเศร้า มีแต่เสียงพูดคุยเฮฮา มีเสียงเด็กๆ จำนวนไม่น้อย คงเป็นลูกหลานของเจ้าภาพทั้งสองกลุ่ม หรืออาจเป็นเด็กๆ ที่อยู่ใกล้เคียง มาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน

หลังจากอิ่มหนำสำราญจากโต๊ะอาหาร ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือก่อนที่จะถึงเวลามิสซา พวกเราออกเดินย่อยอาหารบริเวณแถวๆ สุสานนั่นเอง มองเห็นบ้านคนกับสุสานอยู่ติดกัน มีแค่ถนนคนเดินกั้นสองฝั่งเท่านั้น ฉันมองดู..อยากจะรู้สึกอบอุ่นแทน ช่างปลูกสร้างโดยหันหน้าเข้าหากันระหว่างบ้านชาวบ้านรอบๆ กับสุสาน มองแล้วอดนับถือน้ำใจของเพื่อนมนุษย์สองภพไม่ได้ อยู่กันแบบเพื่อนบ้านจริงๆ

มีฝนเม็ดห่างๆ ตกลงมา แต่ยังพอเดินย่อยอาหารต่อไปได้ มีเด็กๆ ต่างวัย คงราวๆ เด็กประถมและเด็กมัธยมเริ่มเดินสวนเข้ามาในบริเวณงานศพ บางคนอาบน้ำมาแล้วเรียบร้อย เพราะเปลี่ยนจากชุดนักเรียนเป็นชุดอยู่บ้านแล้ว แต่หลายคนมาในชุดนักเรียนกันเลย มีทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย พวกเขาเริ่มเข้ามานั่งประจำที่ตามม้านั่งยาวภายในหอประชุม

ฉันมองนักเรียนชายคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบลูกเสือ สวมแว่นตา มองก็รู้ว่าเป็นนักดนตรี เพราะเดินตรงเข้าไปเปิดผ้าคลุมอิเล็กโทน ท่าทางทะมัดทะแมงมาก หนังสือโน้ตเพลงถูกคั่นไว้แล้วด้วยที่หนีบกระดาษ แสดงว่า..เตรียมบทเพลงที่จะเล่นมาเรียบร้อยแล้ว มีนักเรียนหญิงมัธยมปลายคนหนึ่งเดินเข้ามาสมทบ ต้องเป็นนักเรียนในโรงเรียนรัฐบาลแน่นอน (สังเกตจากชุดนักเรียนเอา) น่าจะเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มนักร้องนี้ ฉันนั่งนับเด็กกลุ่มนี้อย่างเพลินๆ ได้ราว 25-30 คน พวกเขาเก่งนะ ไม่เห็นมีผู้ใหญ่คุมวง ไม่เห็นมีคุณพ่อหรือซิสเตอร์มาจัดการใดๆ กับเด็กๆ กลุ่มนี้ แต่พวกเขาดูจะชำนาญ แม้ระเบียบไม่แน่นนัก ให้คะแนนความมีระเบียบเรียบร้อย คงได้ประมาณพอใช้ 60-70 เปอร์เซ็นต์ (ตามเกณฑ์มาตรฐานโรงเรียนของซิสเตอร์) แต่ฉันเห็นเด็กผู้หญิงที่เป็นพี่ใหญ่คนนั้น หันมาค้อนเด็กๆ แถวหลังๆ หลายครั้ง ที่เข้ามานั่งแล้ว.กลับคุยกัน สักพัก คงจะอดรนทนไม่ไหว สาวน้อยคนนี้ที่ฉันมองว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นผู้นำ ลุกขึ้น เดินมาดุ เสียงดังพอที่ฉันจะได้ยินว่า ถ้าจะคุย ก็ออกไป และกลับบ้าน ไม่ต้องอยู่มิสซา” ดูเอาเถอะ เคร่งครัดคล้ายๆ  ได้บวชเป็นซิสเตอร์เลย

มิสซาหน้าศพเริ่มและดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เด็กนักร้องกลุ่มนี้ทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างดีมีเสียงผู้นำถือไมล์ 3-4 คน ทั้งหญิงและชาย แต่ที่น่าขำ ฉันเห็นเด็กผู้หญิง อายุคง  8 – 9 ขวบ ใส่เสื้อยืดสีแดงโดดเด่นอยู่คนเดียว มีแต่ขาตั้งไมล์แต่ไม่มีไมล์..ตั้งอยู่ตรงหน้า เด็กหญิงคนนี้ จับที่ขาตั้งไมล์ร้องเพลงเหมือนคนก่อเพลง อนาคตคงได้ขยับขึ้นเป็นนักร้องกับเขาแน่นอน

ดูเอาเถอะ ฉันรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกับเด็กๆกลุ่มนี้ คุณพ่อที่เป็นประธานในพิธีมิสซาคงจะให้ข้อคิดที่ดีระหว่างบทเทศน์ แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันอิ่มบุญ และมองเห็นความรักของพระในเด็กๆ เหล่านี้ ฉันสัมผัสและสามารถแตะต้องพระได้..แม้ไม่ได้อิงอยู่บนพระวาจาทรงชีวิตแต่อย่างใด

ขอให้ทุกคนเติบโตเป็นคนดี และเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนจักรท้องถิ่นต่อไปนะ

--กลับสู่ "บทความ..เก็บตกชีวิต"--